และหลังจากที่คนอังกฤษแต่หัวใจไทย มอร์ริส เคอร์ ได้ปลุกผีวงการสอยคิวหลังจากไม่มีแข่งขันตั้งแต่ปี 2513 คุณเคอร์ เธอจัดชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อปี 2525 โดยแชมป์ปีนั้นได้แก่ วิเชียร แสงทอง ที่เอาชนะ เซียนตา ลพบุรี ซึ่งการแข่งขันนัดนี้เองที่ทำให้คนรักสนุกเกอร์อย่างจับจิตจับใจอย่าง ศักดา รัตนสุบรรณ หวนกลับคืนวงการอีกครั้ง หลังจาก เซียนเง็ก อ่างทอง และ เซียนเอ็ง บ้านใหม่ ได้ขอให้ช่วยเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนลงแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งขณะนั้น ศักดา รัตนสุบรรณ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าข่าวกีฬาหนังสือพิมพ์ "เดลินิวส์"
เมื่อได้มาเห็นวงการสนุกเกอร์ในยุคหลังนี้ ทำให้ ศักดา มองการณ์ไกล และมั่นใจ นักสอยคิวไทย ฝีมือระดับนี้ต้องสู้กับระดับโลกได้ จึงเปิดคอลัมน์สนุกเกอร์ในหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ภายใต้ชื่อ นินทาเซียน ซึ่งเป็นข่าวสังคมทั่วไป โดยเฉพาะเซียนน้อยใหญ่ไปซุ่มที่ไหน ใครเปิดเดลินิวส์จะรู้หมด ถึงขนาดเคยมีอยู่ครั้ง เซียนโก๊ะ อยุธยา ซุ่มไปดักรอเล่นกับ พ่อค้าพลอย ที่อำเภอบ่อไร่ จังหวัดจันทบุรี รอนานถึง 3 วันพวกขุดพลอยจึงลงจากเขาและเข้าโต๊ะสนุกเกอร์ซึ่งมีแค่ 2 ตัว เป็นโต๊ะพัดลม หน้าต่างโล่ง ลมโชยผ่านตลอดทั้ง 4 ทิศ เซียนโก๊ะ เริ่มจีบพ่อค้าพลอยจนตกลงจับคิวจะสู้กัน โดยมีเดิมพันติดปลายนวม 500 บาท ซึ่งในยุค 40 ปีเงิน 500 ถือว่ามากพอสมควร ในขณะที่ทั้งคู่จะสู้กัน เจ้าเพื่อนพ่อค้าพลอยดันไปหยิบหนังสือพิมพ์ "เดลินิวส์" ขึ้นมาอ่านคอลัมน์ "นินทาเซียน" และเห็นรูป โก๊ะ อยุธยา อยู่ในคอลัมน์ จึงได้รู้ว่า ไอ้ดำสูงโย่งรายนี้คือ เซียนโก๊ะ อยุธยา ดังนั้นเกมการต่อสู้จึงต้องยุติในฉับพลัน เล่นเอา เซียนโก๊ะ บ่นเป็นหมีกินผึ้ง เสียค่าใช้จ่ายเป็นร้อย แถมทนรอถึง 3 คืนดันไม่ได้เล่น เป็นเพราะ เดลินิวส์ นั่นเชียวทำให้เสียแผน
การเปิดคอลัมน์สังคมสนุกเกอร์ในหนังสือพิมพ์ ฉบับยักษ์ และได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคนั้น ทำให้วงการสอยคิวตื่นตัวมาก ยิ่งได้เจ้า ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ช่วยสร้างสีสันทำให้ใครต่อใครต่างรู้จักสนุกเกอร์เป็นอย่างดี ซึ่งในเวลาต่อมา ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ก็สร้างชื่อเสียงให้ประเทศดังกระฉ่อนไปทั่วโลก โดยก้าวสู่มืออาชีพและอันดับสูงสุดคือ 3 เป็นรองแค่สตีฟ เดวิส กับ สตีเฟ่น เฮนดรี้
สำหรับ ศักดิ์ชัย ซิมงาม หลังจากเป็นมือหนึ่งขึ้นคานอยู่ที่โต๊ะอินทรา ไม่ค่อยจะได้ต่อสู้มากนัก เนื่องจากต้องให้น้ำหนักเพื่อนเซียนด้วยกัน เพราะหากเล่น เท่ากัน ศักดิ์ชัย เหนือทุกเซียน จนกระทั่งมีการแข่งขัน ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย (ครั้งแรก) ที่จัดในเมืองไทย ณ โรงแรมบางกอก ประตูน้ำเมื่อปี 2527 ปรากฏว่า ศักดิ์ชัย คว้าแชมป์คนแรกด้วยการชนะ วิเชียร แสงทอง 8-5 เฟรม แต่ครั้ง 2 ที่ประเทศสิงคโปร์ในปีถัดมา ไปเสียท่าให้ดาวรุ่งฮ่องกง เคนนี่ ก๊อก 5-8 เฟรม
ศักดิ์ชัย ซิมงาม ได้แชมป์ประเทศไทยด้วยการชนะ "ดาวรุ่งฟอร์มสด" เต่า หลังสวน 7-2 เฟรมเมื่อปี 2538 ซึ่งตามระเบียบของสมาคมฯ จะต้องได้สิทธิ์เป็นตัวแทนไปชิงแชมป์สมัครเล่นโลก แต่ในปีนั้น ศักดิ์ชัย อายุปาเข้าไป 43 จึงมีผู้ทักท้วงว่า แก่เกินไป น่าจะเปลี่ยนตัวหาเด็กใหม่ไปแทน แต่เมื่อถูกโต้แย้งด้วยกฏระเบียบที่ยึดถือปฏิบัติตั้งแต่ปี 2527 ศักดิ์ชัย จึงได้ตั๋วไปชิงแชมป์สมัครเล่นโลกที่ประเทศอังกฤษพร้อมเพื่อนร่วมทีม รมย์ สุรินทร์ และไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง 2 นักกีฬาไทยเข้าสู่รอบ 8 คนโดย รมย์ สุรินทร์ ไปเสียท่าให้ดาวรุ่งอังกฤษ เดวิด เกรย์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นมืออาชีพที่โด่งดัง ส่วนศักดิ์ชัยผ่านคู่ต่อสู้เข้าไปชิงชนะเลิศกับ เดวิด ลิลลี่ ที่เอาชนะ เดวิด เกรย์ ในรอบตัดเชือก ซึ่งผลการต่อสู้ ศักดิ์ชัย ซิมงาม สร้างชื่อให้ไทยด้วยการปราบ ลิลลี่ 11-7
และจากการได้แชมป์โลกในปี 2538 ทำให้ ชัย ลำพูน ได้รับเงินเดือนจากสมาคมฯ เดือนละ 6,000 บาทตลอดชีพ โดยการเสนอของ ศักดา รัตนสุบรรณ เนื่องจากเห็นว่าการเป็นแชมป์โลกไม่ใช่เป็นกันได้ง่ายๆ จึงเสนอให้ เงินอัดฉีด เป็นเงินเดือนตลอดชีวิตเหมือนที่ โอลิมปิก อัดฉีดให้ นักกีฬา ที่ได้เหรียญทองจากโอลิมปิกเกมส์ โดยการเห็นพ้องของนายกสมาคมฯ คุณสินธุ พูนศิริวงศ์ ซึ่งถือว่า ศักดิ์ชัย เป็นนักกีฬาคนแรกที่ได้เงินอัดฉีดเป็นเงินเดือนจาก สมาคมฯ โดยก่อนหน้านี้ทั้ง ต๋อง-หนู-ต่าย ไม่เคยได้รับเงินส่วนนี้ ศักดิ์ชัย รับเงินเดือน เดือนละ 6,000 บาทอยู่ 2 ปี เกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน จึงเจรจากับ สมาคมฯ ขอเงินก้อน ไม่ขอรับเงิน 6,000 บาทต่อเดือน ซึ่งในที่สุดก็ตกลงจ่ายให้ ศักดิ์ชัย 140,000 บาท ถ้าหากคำนวณให้ดี เงินเดือน 6 พันกับแสนสี่ใช้เวลาแค่ 2 ปีก็หมด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า ศักดิ์ชัย ต้องการเงินก้อนโดยไม่มองถึงอนาคตอันยาวไกล และจากการที่สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินก้อน ทำให้ นายกฯ สินธุ เกิดกังวล หากมีนักกีฬาไปคว้าแชมป์โลกและเรียกร้องขอ เงินก้อน ก็เป็นเรื่องน่าปวดหัว จึงประกาศยกเลิกเงินอัดฉีด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา