จากมาร์คเกอร์มาเป็นมาร์คกี้

25 ต.ค. 60

ยุคต้น ๆ ของวงการสนุกเกอร์ในเมืองไทยนั้น นักสนุกเกอร์มือดีประจำแต่ละแห่ง ที่เรียกว่าเซียนนั้น มักไต่เต้ามาจากมาร์คเกอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็เป็นลูกหลานของเจ้าของโต๊ะสนุกเกอร์ที่นั่น ที่พอมีเวลาว่างก็มาช่วยดูแลกิจการ หรือมาช่วยเป็นมาร์คเกอร์บ้าง

ซึ่งจะมีหน้าที่ในการตั้งลูก ถือไม้เรสต์ไว้คอยบริการ ที่สำคัญคือจดแต้มใส่ในกระดานดำ และเลยเถิดไปกว่านั้น ก็คอยวิ่งซื้อบุหรี่ สั่งน้ำอัดลม โอเลี้ยง ให้แก่ลูกค้าที่มาเล่นสนุกเกอร์

หลายคนทำหน้าที่มาร์คเกอร์เต็มเวลาเลย เพราะไม่เรียนหนังสือ หรือไม่สนใจจะทำงานอื่น เป็นด้วยใจชอบ และอยากคลุกคลีในวงการสนุกเกอร์ จึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะจับคิวแทงเล่น เวลาเลิกงาน และก่อนทำความสะอาดโต๊ะ หรือหลายแห่งที่เจ้าของโต๊ะใจดี ก็ปล่อยให้มาร์คเกอร์เล่นกะลูกค้า หรือนักสนุกเกอร์ได้

มาร์คเกอร์ถึงมีโอกาสฝึกปรือฝีมือได้บ่อย ๆ แถมยังมีโอกาสพัฒนาฝีมือ เพราะนอกจากได้เล่นกับนักสนุกเกอร์ที่หลากหลายแล้ว ยังมีโอกาสได้เห็นนักสนุกเกอร์มือดี ๆ เล่นกัน

ก็จดจำลีลา ลูกเล่น หรือการใช้ชั้นเชิงในการป้องกัน หรือเปิดเกมลุย

ในต่างจังหวัดนั้นเกือบร้อยทั้งร้อย นักสนุกเกอร์ชั้นดีจะมาจากมาร์คเกอร์ หรือไม่ก็ลูกหลานเจ้าของโต๊ะ จนเติบโตไปประกอบอาชีพอื่น ฝีมือสนุกเกอร์ก็ไม่ได้ทิ้ง ในกรุงเทพฯ ก็มีมาร์คเกอร์ที่มีฝีมือดีขนาดเป็นมือหนึ่งประจำโต๊ะหลายแห่ง อาทิ โต๊ะดาวรุ่ง เป็นตึกสี่ชั้นใกล้สี่แยกราชเทวี มีโต๊ะสนุกเกอร์อยู่ชั้นสองและชั้นสาม เหตุที่เรียก “โต๊ะดาวรุ่ง” ก็เพราะเป็นตึกที่เปิดทำการสอนตัดเย็บเสื้อผ้า “ดาวรุ่ง”

โต๊ะนี้ ไม่ค่อยจะมีใครกล้าเดินสายมา เพราะผู้ดูแลที่แห่งนี้ มีดีกรีเคยเป็นแชมเปียนสนุกเกอร์ของประเทศไทย

คุณวิเชียร แสงทอง หรือเซียนกิ๊ด นครสวรรค์ มีลูกศิษย์หรือมือดีชั้นรองประจำโต๊ะและเป็นมาร์คเกอร์ที่นั่น เซียนพล ดาวรุ่ง ที่ฝีมือสนุกเกอร์รับแขกเซียนเดินสายได้ทุกมือ

ที่หลังโรงภาพยนตร์เมโทร ก็มี “แจ่ม เมโทร” ที่ได้ชื่อว่าเป็นเสือเฝ้าถ้ำ เล่นเฉพาะในถิ่นตนเอง และสู้ทุกมือ ขนาดเซียนเง็ก นครสวรรค์ หนึ่งให้ห้าเซียนสุดยอดของเมืองไทย เดินสายไปเล่น ยังเสียท่าแจ่ม เมโทร มาแล้ว ในตลาดเฉลิมโลก ประตูน้ำ อาคารชั้นสองของตลาดสด ก็มี “เซียนโม่ง” เป็นทั้งมือรับแขกและช่วยดูแลที่นั่น

เซียนเตี้ย ก็เป็นมือหนึ่งที่โต๊ะเวียงฟ้า หลังวังบูรพา ที่ไต่เต้าจนเป็นแชมเปียนสนุกเกอร์แห่งประเทศไทยในพ.ศ.หนึ่ง ก็เซียนวัลลภ เทพหัสดิน เขาทำงานที่โต๊ะย่านศาลเจ้าพ่อเสือ สายัณห์ แก้วชิงดวง ก็เป็นมาร์คเกอร์ตั้งแต่ยังนุ่งกางเกงขาสั้น ประจำที่โต๊ะอินทรา จนกลายเป็นนักสนุกเกอร์มือดีระดับแถวหน้า

จะว่าไปแล้ว เซียนสนุกเกอร์รุ่นเก๋าที่เข้ามาเล่นในกรุงเทพฯ ไม่น้อยที่เคยเป็นมาร์คเกอร์ในภูธรมาก่อน จนสมัยสนุกเกอร์ในเมืองไทยบูมมาก มีการจัดการแข่งขันแยกประเภทเป็นมือหลายระดับ ที่สมาคมมิตรเดือนเด่น หลังศูนย์การค้าอินทรา นักสนุกเกอร์ประเภทดาวรุ่งที่มาจากจังหวัดต่าง ๆ หรือตามย่านต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ มาสมัครเข้าแข่งขัน ต่างเคยทำงานเป็นมาร์คเกอร์หลายคน

แล้วสนุกเกอร์เมืองไทยก็เปลี่ยนโฉม เป็นเหตุให้หมดยุคมาร์คเกอร์ เนื่องมาจากผลกระทบหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือ การแข่งขันนั้นไม่ต้องมีมาร์คเกอร์แล้ว มีแต่กรรมการ มีหน้าที่ตัดสินกรณีมีการทำผิดกติกา มีการส่งเรสต์ให้ผู้เข้าแข่งขันบ้าง และขานแต้มแต่ละไม้ที่เข้าเบรก ส่วนการจดแต้มนั้นเป็นเรื่องของกรรมการกลางทำงานอยู่เบื้องหลัง และใช้เทคโนโลยีในการบันทึกแต้ม และโชว์แต้มแทน

และอีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือตามโต๊ะสนุกเกอร์ต่าง ๆ ได้ยกระดับขึ้น มีการปรับปรุงสถานที่ให้ทันสมัย และมีความเป็นมาตรฐานขึ้น จัดบรรยากาศเหมือนเป็นคลับเป็นสโมสร มีเครื่องปรับอากาศ มีการปูพื้นด้วยพรม หรือกระเบื้องเคลือบที่มองดูสะอาดสะอ้าน

พร้อมกับเปลี่ยนมาร์คเกอร์ มาเป็นมาร์คกี้ มาร์คเกอร์ที่เป็นผู้ชายแต่เดิม หากยังอยู่ทำงานก็เปลี่ยนหน้าที่เปลี่ยนฐานะไป เป็นผู้ดูแลทั่วไป

มันก็เป็นพัฒนาการของกิจการธุรกิจ ที่หลายกิจการก็จำต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น จากสนามกอลฟ์ที่ยุคก่อนนั้น ตอนที่มีสนามกอล์ฟที่มาตรฐานในเมืองไทยแค่ ๓ แห่ง สนามกอล์ฟรถไฟหัวหิน หรือตราสิงห์ปัจจุบัน สนามกอล์ฟบางพระ และสนามกอล์ฟเชียงใหม่ ที่เคยมีแต่เด็กแคดดี้ผู้ชาย และกลายเป็นนักกอล์ฟมือโปรระดับโลกไปมากมาย

พอธุรกิจสนามกอล์ฟของเอกชนเฟื่องฟู เกิดขึ้นแทบทุกจังหวัด ก็ปรับเปลี่ยนมาใช้เด็กผู้หญิงทำหน้าที่แคดดี้แทน

วงการสนุกเกอร์ก็เช่นกัน ต้องแข่งขันในการประกอบการ ดึงดูดลูกค้า และทำให้เป็นความบันเทิงผสมผสานการเล่น ก็ต้องใช้มาร์คเกอร์เป็นผู้หญิงเช่นกัน แล้วเรียกว่า “มาร์คกี้”

ซึ่งฝรั่งเองไม่มีคำนี้ใช้เสียด้วยซ้ำและในปัจจุบัน ก็ลามมาถึงสนามฟุตบอลที่ให้เช่าซ้อมเช่าแข่งขัน ตอนนี้มีพนักงานประจำสนามเป็นผู้หญิง เป็นคล้ายพริตตี้ประจำสนามกลาย ๆ

หมดมาร์คเกอร์ มีแต่มาร์คกี้ ไม่ใช่ของประหลาด หรือพิสดารอันใด มันเป็นเทคนิค หรือวิธีการคิดทางธุรกิจ เพื่อให้กิจการมีมาตรฐานและมีสีสันมากขึ้นเท่านั้นเอง

อ๊อด  หัวหิน

(ตีพิมพ์ในนิตยสารคิวทอง ฉบับที่ 419)